เครดิตภาพ : ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เคยเป็นบ้านของแป๊ะหมู และนางจันทร์ตา สุวรรณยืน ตึกด้านซ้าย คือ ห้างตันตราภัณฑ์ที่เลิกกิจการไป
ยุคห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์
นายธวัช ตันตรานนท์ เคยกล่าวถึงความเป็นมาของห้างตันตราภัณฑ์ ถนนท่าแพ ว่า
"ที่ดินบริเวณถนนท่าแพเป็นที่ดินเก่าของเตี่ย(เถ้าแก่ง่วนชุน) ซื้อต่อจากเจ้าของเดิม คือ ยายศรี คนย่านวัดเกตการามมาตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๗๐ และที่แห่งนี้ยายศรีนำจำนองไว้กับครอบครัวนิมมานเหมินท์ เนื้อที่ ๓ งาน ๙๐ ตารางวา เมื่อซื้อต่อได้นำเงินไปชำระที่ห้างอนุสาร ราคา ๒ หมื่น ๔ พันบาท เตี่ยเป็นคนถือเงินไปจ่ายเอง เป็นเงินแยะ ทั้งแบ็งค์ ๕ , ๑๐ , ๑๐๐ บาท ที่ดินนี้เคยเป็นโรงฝิ่น ชื่อโรงฝิ่น ตงเฮง ต่อมามีผู้เช่าทำโรงหนัง ชื่อ โรงหนังตงเฮง
"นำเงินลงทุนทำห้างใหม่ ใช้งบก่อสร้าง ๓ แสน ๕ หมื่นบาท สร้างตึก ๓ ชั้น ขายทุกอย่าง โดยเน้นเสื้อผ้าสำเร็จรูป สมัยนั้นร้านใหญ่ที่ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป คือ ร้านกวงหลง , ร้านกวงยูหลง และร้านแฟชั่น อยู่ถนนวิชยานนท์ ของจีนแคะ โดยผมไปดูการทำร้านสรรพสินค้าในกรุงเทพฯมาทำที่ห้างตันตราภัณฑ์ และเป็นร้านแรกของเมืองเชียงใหม่ที่ติดราคาไว้ที่สินค้าและไม่ลดราคาจากป้าย ต่อมาประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ ติดตั้งบันไดเลื่อนแห่งแรกของเชียงใหม่ ใช้งบ ๔ แสน ๒ หมื่นบาท เป็นช่วงที่สมเด็จพระเทพรัตนฯเสด็จที่ห้างพอดี
"การลงทุนค้าขายขณะนั้น ใช้ความกล้าอย่างมาก ต้องไปเมืองนอกบ่อย โดยเฉพาะประเทศฮ่องกงไปเป็นประจำ ซื้อเสื้อกันหนาวเข้ามาขาย สมัยนั้นยังไม่มีโรงงานผลิตในประเทศไทย กำไรดีมาก วันหนึ่งขายได้ถึง ๘ หมื่นถึง ๑ แสนบาท มีการจัดลดราคาปีละครั้ง คนมาซื้อกันมากของที่สต็อกไว้ขายได้เกือบหมด"
ระหว่างที่ห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์ท่าแพกำลังมียอดขายดีอยู่นั้น ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ขยายไปห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์ สาขาช้างเผือก
นายธวัช ตันตรานนท์ เคยเล่าว่าเดิมบริเวณดังกล่าวเป็นสถานเล่นโบลิ่งและหยุดกิจการ เจ้าของมีหลายหุ้น คนหนึ่งคือ นายพัฒน์ เลาหวัฒน์ โดยซื้อต่อในราคาประมาณ ๗ ล้านบาท ค่าก่อสร้างประมาณ ๒ ล้านเศษ หลังจากเปิดดำเนินการยอดจำหน่ายดี ต่อมาจึงซื้อที่ดินด้านข้างของนางบุญทวี ตันตรานนท์ เพิ่มเติมทำเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตและที่จอดรถ เงินที่นำมาลงทุนทำห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์ช้างเผือก ได้จากการนำห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์ท่าแพไปค้ำประกันนำเงินจากธนาคารมาลงทุนส่วนหนึ่ง และในขณะเดียวกันนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๓๐ ได้เริ่มต้นสร้างห้างสรรพสินค้าแอร์พอร์ตพลาซ่าด้วยผู้ดำเนินการ คือ นายวรวัฒน์ ตันตรานนท์ บุตรชายของนายธวัช ตันตรานนท์
หลังจากเปิดห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์ช้างเผือกไม่นานนักต้องประสบปัญหาจนต้องเลิกกิจการ จากปัญหาใหญ่สองประการ คือ ห้างสรรพสินค้ากาดสวนแก้วที่ถนนห้วยแก้วเปิดดำเนินการ มีความพร้อมมากกว่าทำให้การแข่งขันสูง ส่งผลให้ยอดขายที่ห้างตันตราภัณฑ์ช้างเผือกไม่ดี ประกอบกับการจัดระบบการจราจรรอบคูเมืองจากเดินรถสองทางเป็นเดินรถทางเดียว ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งหายไป ภายหลังจึงต้องเลิกกิจการ
ส่วนห้างแอร์พอร์ตพลาซ่า เนื่องจากมีปัญหาในด้านการบริหารและปัญหาอื่น เมื่อบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัดมาขอซื้อในส่วนของพลาซ่า คือ ส่วนที่เป็นพื้นที่สำหรับแบ่งให้ร้านค้าย่อยมาวางจำหน่ายสินค้า จึงขายให้ไปและต่อมาขายห้างสรรพสินค้าให้ทาง "โรบินสัน"
ด้านการแข่งขันทางธุรกิจนั้น นายธวัช ตันตรานนท์ เปรียบเทียบการลงทุนของคนรุ่นก่อนกับการลงทุนของคนรุ่นใหม่แตกต่างกัน ปัญหาหลักที่ธุรกิจระยะต่อมาไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากเงินลงทุนที่สูง จากการที่ลงทุนซื้อที่ดินบริเวณห้างสรรพสินค้าแอร์พอร์ต ซึ่งนักลงทุนยุคใหม่จะไม่ลงทุนซื้อที่ดิน แต่จะเช่ามากกว่า เช่าระยะยาว ๒๐ - ๓๐ ปี ดังเช่นการเช่าดำเนินการของห้างโลตัสที่เช่าที่ของตระกูล "นิมมานเหมินท์" ทั้งสาขาถนนเชียงใหม่ - หางดง และสาขาตลาดคำเที่ยง
หลังจากนั้น ครอบครัว "ตันตรานนท์" ลงทุนธุรกิจห้างสรรพสินค้า "ริมปิง" ในปี พ.ศ.๒๕๓๒ ในที่ดินของตระกูลบริเวณถนนเชียงใหม่-ลำพูน เมื่อได้ผลกำไรดีต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๖ จึงเริ่มเปิดอีกสาขาหนึ่งที่ถนนโชตนา ย่านช้างเผือก โดยเช่าพื้นที่จากตระกูล "ภัทรประสิทธิ์"
พื้นที่บริเวณห้างสรรพสินค้าริมปิงโชตนา แห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นของตระกูลนายวรการบัญชา ต่อมาเปลี่ยนเป็นสกุล "สุตันตรานนท์" คนรุ่นเก่าบอกว่าเมื่อผ่านย่านนี้ในอดีตเป็นสวนกว้างมีบ้านใหญ่อยู่ในสวนแห่งนี้
อาจสรุปว่า แม้จะประสบปัญหาด้านถูกห้างใหญ่ที่มีเงินทุนมากกว่าดึงลูกค้าไป ทำให้ห้างตันตราภัณฑ์ และแอร์พอร์ตพลาซ่า ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในโอกาสเดียวกันห้างริมปิงทั้งสองสาขา คือ ที่ริมปิง สาขานวรัฐ และริมปิง สาขาโชตนา ก็สามารถฉีกแนวในการดึงดูดลูกค้าโดยเน้นสินค้าที่สด มีคุณภาพและสั่งตรงจากต่างประเทศ จึงทำกำไรได้ดีในปัจจุบัน
จากร้านตันฮั่วง้วน ของเถ้าแก่ง่วนชุน ตันตรานนท์ มาสู่รุ่นลูก คือ นายธวัช ตันตรา-นนท์ สร้างห้างตันตราภัณฑ์และห้างริมปิง จนมาถึงรุ่นที่สาม นายวรกร ตันตรานนท์ อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่
ถัดจากห้างตันตราภัณฑ์ไปทางทิศตะวันตกปัจจุบันเป็นที่ต้องของธนาคารกรุงเทพ จำกัด
เดิมบริเวณนี้เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวของแป๊ะหมู สุวรรณยืน ภรรยาชื่อ นางจันทร์ตา
บ้านแป๊ะหมู อยู่ติดกับบ้านแป๊ะสุข น้องชาย ซึ่งบ้านแป๊ะสุข คือ ที่ดินส่วนหนึ่งของห้างตันตราภัณฑ์ทางซีกตะวันตก
ทั้งแป๊ะหมูและแป๊ะยืน ต่างเป็นบุตรชายคนหนึ่งของแป๊ะยืน สุวรรณยืน ซึ่งเชื่อได้ว่าครอบครองที่ดินบริเวณนี้ ต่อมาจึงตกทอดสู่รุ่นลูก
หากกล่าวถึงตระกูล "สุวรรณยืน" แล้วได้ชื่อว่าเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง มาครอบครองที่ดินย่านถนนท่าแพละแวกนี้อยู่ไม่น้อย แป๊ะยืน เดิมแซ่แต่ เป็นรุ่นที่ ๓ ของต้นตระกูลครอบครัวชาวจีนที่ชื่อว่านายซื้อ-นางหงษ์ แซ่แต่ แป๊ะยืนแต่งงานกับนางบัวคำ และมาตั้งบ้านเรือนค้าขายอยู่ถนนท่าแพ มีบุตรธิดา ๘ คน คือ นายสูน, นายหมู, นายสุข, นายน้อย, นางแก้วลูน , นายจู , นางบุญปั๋น และนายล้าน สุวรรณยืน
รุ่นหลานที่ทันเห็นครอบครัวของแป๊ะยืน เล่าว่ารุ่นลูก คือ แป๊ะจู ย้ายไปอยู่หลังวัดช่างฆ้อง แป๊ะสุข ไปบุกเบิกครอบครองที่ดินสร้างหลักฐานเขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายและเสียชีวิตที่นั่น แป๊ะน้อยทำธุรกิจโรงเลื่อยช้างเผือกภรรยาชื่อ นางบุญปั๋น
ด้านแป๊ะหมู ปักหลักที่ถนนท่าแพแห่งนี้ แต่งงานกับนางจันทร์ตา สร้างฐานะจนเป็นปึกแผ่นมั่นคง โดยเฉพาะนางจันทร์ตา ยอมรับกันว่าเป็น "หญิงเหล็ก" คนหนึ่ง มีมานะสูง เดินทางไปค้าขายระหว่างเมืองเชียงใหม่กับประเทศพม่า สมัยนั้นว่ากันว่าต้องเดินทางไปออกทางจังหวัดตากที่เรียกว่า "เมืองระแหง" และออกไปทางอำเภอแม่สอด การเดินทางลำบากแสนสาหัส อีกทั้งอาจต้องถูกโจรผู้ร้ายปล้นสดมภ์ด้วย คราวหนึ่งระหว่างเดินทางนางจันทร์ตา ถูกโจรปล้นระหว่างทางเสียทรัพย์สินไปไม่น้อย เป็นเรื่องราวที่ชาวท่าแพรับรู้และกล่าวถึงทั้งห่วงใยและยกย่อง
นางจันทร์ตา ผู้นี้เดิมใช้สกุล "พันธุรัตน์" เป็นชาวบ้านฮ่อม ชุมชนใหญ่อยู่ถัดไปทางทิศตะวันตก รูปร่างเล็ก ผิวคล้ำ เก่งด้านค้าขาย เมื่อสร้างฐานะได้มั่นคงแล้วก็ซื้อสะสมที่ดินไว้ หากมีใครบอกขายก็ซื้อเก็บ ซื้อไว้จนนายหมูผู้เป็นสามีบ่นเปรยว่า จันทร์ตาเอ๊ย จะซื้อเอาไปอะหยังปะล้ำปะเหลือ ลูกก็มีแค่คนเดียว ตอนหลังนางจันทร์ตาได้ซื้อที่ดินย่านใจกลางเมืองริมถนนราชดำเนินข้างวัดหมื่นล้าน เดิมเป็นที่ดินของ เจ้าราชบุตร(เจ้าสมพะมิตร ณ เชียงใหม่)ซึ่งตกมาสู่เจ้าหมื่นแก้ว รุ่นลูก ส่วนหนึ่งปลูกบ้านอยู่อาศัย อีกส่วนหนึ่งให้เอยูเอเช่า
นายหมูและนางจันทร์ตา สุวรรณยืน มีบุตรคนเดียวชื่อนายอินทอง สุวรรณยืน จบคณะบัญชีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เก่งธุรกิจเช่นเดียวกับแม่ ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจป่าไม้และทำเหมืองแร่ขนาดใหญ่ที่อำเภอลี้ ต่อมาซื้อที่ดินมุนถนนช้างคลานตัดกับถนนศรีดอนไชยซึ่งเคยเป็นตลาดเล็กๆไว้เป็นกรรมสิทธิ์และให้เจ้าไชยสุริวงศ์เช่าทำโรงภาพยนตร์แสงตะวัน เลยเรียกแยกนี้ว่าแยกแสงตะวันเรื่อยมา
นายหมูและนางจันทร์ตา เมื่อซื้อที่ดินที่ถนนราชดำเนินแล้วจึงย้ายไปพักอาศัยอยู่ที่นั่น ที่ริมถนนท่าแพขายต่อให้ชาวจีนคนหนึ่งมีอาชีพขายกาแฟอยู่ในโรงหนังตงเฮง สมัยที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นโรงยาฝิ่น วันดีคืนดีชาวจีนผู้นี้ประสบโชคดีถูกรางวัลที่หนึ่งสมัยนั้นได้เงินคงประมาณ ๒ แสน ๓ แสนบาท คนอิจฉากันทั้งถนน จึงมาซื้อบ้านของแป๊ะหมู และเข้าอยู่อาศัย หน้าบ้านเปิดขายกาแฟ ขนมปัง ไข่ลวก ต่อมาบ้านแห่งนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร กรุงเทพ จำกัด สร้างที่ทำการธนาคาร.
พ.ต.ท.อนุ เนินหาด
รอง ผกก.สส.สภ.อ.ดอยสะเก็ด
เครดิตภาพ ภาพห้างตันตราภัณฑ์ของคุณธวัช ตันตรานนท์
คัดลอกจาก
http://www.thainews70.com/news/news-culture-arnu/view.php?topic=53