วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โอ้ว ห้างแรกที่มีบันไดเลื่อน

31 ตุลาคม 2543 เป็นวันที่ชื่อ"ไดมารู" ได้ถูกลบออกจากสารบบห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยอย่างถาวร
ถือเป็นการปิดฉากตำนานของห้างสรรพสินค้าจากญี่ปุ่นแห่งนี้ ที่ได้เข้ามามีบทบาทอยู่ในวงการค้าปลีกของไทยถึงกว่า 36 ปี
ห้างไดมารู ถือเป็นห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ของญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2321 โดยเอส ชิโมนูรา เริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2507 ในนามบริษัทไทยไดมารู จำกัด มีทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท เปิดเป็นห้างสรรพสินค้า"ไทยไดมารู"ขึ้น ภายในศูนย์การค้าราชดำริอาเขต ซึ่งเป็นย่านการค้าแห่งใหม่ ที่ขยายออกมาจากย่านวังบูรพา และถือเป็นย่านการค้า ที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น
ห้างไทยไดมารู ที่ราชดำริ อาเขต ถือเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง เพราะตามคอนเซ็ปท์ห้างสรรพสินค้าจากญี่ปุ่น เปิดขึ้น เพื่อรองรับคนญี่ปุ่น ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก บริเวณราชดำริ ถือเป็นจุดที่เหมาะสม เพราะอยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของบริษัทข้ามชาติจากญี่ปุ่นหลายแห่ง จึงมีกำลังซื้อเข้ามามาก
ห้างสรรพสินค้าจากญี่ปุ่นแห่งนี้ ได้มีส่วนร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นทั้งในวงการธุรกิจ และการเมืองของไทย





ในวงการธุรกิจ ห้างไทยไดมารู ที่ราชดำริ อาเขต เป็นห้างสรรพสินค้าเพียงแห่งเดียว ที่เคยทำให้กลุ่มเซ็นทรัล ยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีกของไทย ถึงกับต้องยอมยกธงขาว หลังจากเข้าไปเปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาราชประสงค์ เพื่อแข่งขันด้วยในพื้นที่ย่านนี้เพียงไม่กี่ปี
"เซ็นทรัลยอมรับว่าสู้ไม่ได้ เพราะทำเล ที่ตั้งห้างเสียเปรียบไทยไดมารู"คนที่ติดตามความเคลื่อนไหวในวงการค้าปลีกของไทยเล่า
ในวงการเมือง ห้างไทยไดมารู ถือเป็นพื้นที่เป้าหมาย ที่ขบวนการนิสิตนักศึกษา ใช้เป็นจุดรณรงค์ต่อต้านสินค้าจากต่างประเทศในช่วงปี 2516 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ก่อนขยายตัวปเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย และจบลงด้วยเหตุการรุนแรงในวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม
ไทยไดมารู อยู่ ที่ศูนย์การค้าราชดำริ อาเขต จนหมดสัญญาเซ้งพื้นที่ จึงได้ย้ายมาอยู่ ที่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ถนนศรีนครินทร"์ โดยดำเนินการในนามบริษัทไทยดีเอ็มอาร์ รีเทล จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท มีบริษัทไดมารู อิงค์ จากญี่ปุ่น เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
การย้ายห้างมายังสถานที่แห่งใหม่ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของห้างไทยไดมารู
ที่เสรีเซ็นเตอร์ ถึงแม้จะอยู่ใกล้กับโครงการบ้านจัดสรรขนาดใหญ่ หลายโครงการ และเป็นย่าน ที่มีกำลังซื้อสูง แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย ไม่ตรงกับคอนเซ็ปท์ของห้างไทยไดมารู ที่สร้างขึ้น เพื่อรองรับคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
ประกอบกับในย่านใกล้เคียงกัน มีคู่แข่งเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะฟิวเจอร์ปาร์ค และเซ็นทรัลซิตี้ บางนา ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าชาวไทย ให้เข้าไปจับจ่ายได้มากกว่า
ห้างไทยไดมารู ที่เสรีเซ็นเตอร์ จึงไม่ประสบความสำเร็จเท่า ที่ควร
หลังประเทศไทยประสบกับปัญหาเศรษฐกิจ จากการลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 ในปี 2541 ไดมารู อิงค์ จากญี่ปุ่น ได้ตัดสินใจเปลี่ยนแผนการลงทุนในประเทศไทย โดยการขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทไทยดีเอ็มอาร์ รีเทล ให้กับผู้ลงทุนชาวไทย คือ กลุ่มพรีเมียร์ ในเครือโอสถานุเคราะห์ แต่ยังคงให้สิทธิ์กับผู้บริหารชุดใหม่สามารถใช้ชื่อ"ไดมารู"ต่อมาได้อีก 2 ปี
แต่ตลอดเวลา ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของห้างไทยไดมารูยังไม่ดีขึ้น
ในที่สุด กลุ่มพรีเมียร"์จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญาการใช้ชื่อ"ไดมารู"อีกต่อไป พร้อมปรับพื้นที่ เพื่อเตรียมสร้างห้างสรรพสินค้าในชื่อใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้
ชื่อห้าง"ไดมารู"วันนี้ จึงเหลือเพียงประวัติศาสตร์เท่านั้น
   

ขอบคุณเครดิตภาพและข้อมูลจาก


 PANTIP.COM

กำเนิดและการเลิกกิจการของห้างตันตราภัณฑ์ (ห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในเชียงใหม่)

เครดิตภาพ : ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เคยเป็นบ้านของแป๊ะหมู และนางจันทร์ตา สุวรรณยืน ตึกด้านซ้าย คือ ห้างตันตราภัณฑ์ที่เลิกกิจการไป


ยุคห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์

นายธวัช ตันตรานนท์ เคยกล่าวถึงความเป็นมาของห้างตันตราภัณฑ์ ถนนท่าแพ ว่า

"ที่ดินบริเวณถนนท่าแพเป็นที่ดินเก่าของเตี่ย(เถ้าแก่ง่วนชุน) ซื้อต่อจากเจ้าของเดิม คือ ยายศรี คนย่านวัดเกตการามมาตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๗๐ และที่แห่งนี้ยายศรีนำจำนองไว้กับครอบครัวนิมมานเหมินท์ เนื้อที่ ๓ งาน ๙๐ ตารางวา เมื่อซื้อต่อได้นำเงินไปชำระที่ห้างอนุสาร ราคา ๒ หมื่น ๔ พันบาท เตี่ยเป็นคนถือเงินไปจ่ายเอง เป็นเงินแยะ ทั้งแบ็งค์ ๕ , ๑๐ , ๑๐๐ บาท ที่ดินนี้เคยเป็นโรงฝิ่น ชื่อโรงฝิ่น ตงเฮง ต่อมามีผู้เช่าทำโรงหนัง ชื่อ โรงหนังตงเฮง

"นำเงินลงทุนทำห้างใหม่ ใช้งบก่อสร้าง ๓ แสน ๕ หมื่นบาท สร้างตึก ๓ ชั้น ขายทุกอย่าง โดยเน้นเสื้อผ้าสำเร็จรูป สมัยนั้นร้านใหญ่ที่ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป คือ ร้านกวงหลง , ร้านกวงยูหลง และร้านแฟชั่น อยู่ถนนวิชยานนท์ ของจีนแคะ โดยผมไปดูการทำร้านสรรพสินค้าในกรุงเทพฯมาทำที่ห้างตันตราภัณฑ์ และเป็นร้านแรกของเมืองเชียงใหม่ที่ติดราคาไว้ที่สินค้าและไม่ลดราคาจากป้าย ต่อมาประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ ติดตั้งบันไดเลื่อนแห่งแรกของเชียงใหม่ ใช้งบ ๔ แสน ๒ หมื่นบาท เป็นช่วงที่สมเด็จพระเทพรัตนฯเสด็จที่ห้างพอดี

"การลงทุนค้าขายขณะนั้น ใช้ความกล้าอย่างมาก ต้องไปเมืองนอกบ่อย โดยเฉพาะประเทศฮ่องกงไปเป็นประจำ ซื้อเสื้อกันหนาวเข้ามาขาย สมัยนั้นยังไม่มีโรงงานผลิตในประเทศไทย กำไรดีมาก วันหนึ่งขายได้ถึง ๘ หมื่นถึง ๑ แสนบาท มีการจัดลดราคาปีละครั้ง คนมาซื้อกันมากของที่สต็อกไว้ขายได้เกือบหมด"

ระหว่างที่ห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์ท่าแพกำลังมียอดขายดีอยู่นั้น ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ขยายไปห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์ สาขาช้างเผือก

นายธวัช ตันตรานนท์ เคยเล่าว่าเดิมบริเวณดังกล่าวเป็นสถานเล่นโบลิ่งและหยุดกิจการ เจ้าของมีหลายหุ้น คนหนึ่งคือ นายพัฒน์ เลาหวัฒน์ โดยซื้อต่อในราคาประมาณ ๗ ล้านบาท ค่าก่อสร้างประมาณ ๒ ล้านเศษ หลังจากเปิดดำเนินการยอดจำหน่ายดี ต่อมาจึงซื้อที่ดินด้านข้างของนางบุญทวี ตันตรานนท์ เพิ่มเติมทำเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตและที่จอดรถ เงินที่นำมาลงทุนทำห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์ช้างเผือก ได้จากการนำห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์ท่าแพไปค้ำประกันนำเงินจากธนาคารมาลงทุนส่วนหนึ่ง และในขณะเดียวกันนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๓๐ ได้เริ่มต้นสร้างห้างสรรพสินค้าแอร์พอร์ตพลาซ่าด้วยผู้ดำเนินการ คือ นายวรวัฒน์ ตันตรานนท์ บุตรชายของนายธวัช ตันตรานนท์

หลังจากเปิดห้างสรรพสินค้าตันตราภัณฑ์ช้างเผือกไม่นานนักต้องประสบปัญหาจนต้องเลิกกิจการ จากปัญหาใหญ่สองประการ คือ ห้างสรรพสินค้ากาดสวนแก้วที่ถนนห้วยแก้วเปิดดำเนินการ มีความพร้อมมากกว่าทำให้การแข่งขันสูง ส่งผลให้ยอดขายที่ห้างตันตราภัณฑ์ช้างเผือกไม่ดี ประกอบกับการจัดระบบการจราจรรอบคูเมืองจากเดินรถสองทางเป็นเดินรถทางเดียว ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งหายไป ภายหลังจึงต้องเลิกกิจการ

ส่วนห้างแอร์พอร์ตพลาซ่า เนื่องจากมีปัญหาในด้านการบริหารและปัญหาอื่น เมื่อบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัดมาขอซื้อในส่วนของพลาซ่า คือ ส่วนที่เป็นพื้นที่สำหรับแบ่งให้ร้านค้าย่อยมาวางจำหน่ายสินค้า จึงขายให้ไปและต่อมาขายห้างสรรพสินค้าให้ทาง "โรบินสัน"


ด้านการแข่งขันทางธุรกิจนั้น นายธวัช ตันตรานนท์ เปรียบเทียบการลงทุนของคนรุ่นก่อนกับการลงทุนของคนรุ่นใหม่แตกต่างกัน ปัญหาหลักที่ธุรกิจระยะต่อมาไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากเงินลงทุนที่สูง จากการที่ลงทุนซื้อที่ดินบริเวณห้างสรรพสินค้าแอร์พอร์ต ซึ่งนักลงทุนยุคใหม่จะไม่ลงทุนซื้อที่ดิน แต่จะเช่ามากกว่า เช่าระยะยาว ๒๐ - ๓๐ ปี ดังเช่นการเช่าดำเนินการของห้างโลตัสที่เช่าที่ของตระกูล "นิมมานเหมินท์" ทั้งสาขาถนนเชียงใหม่ - หางดง และสาขาตลาดคำเที่ยง


หลังจากนั้น ครอบครัว "ตันตรานนท์" ลงทุนธุรกิจห้างสรรพสินค้า "ริมปิง" ในปี พ.ศ.๒๕๓๒ ในที่ดินของตระกูลบริเวณถนนเชียงใหม่-ลำพูน เมื่อได้ผลกำไรดีต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๖ จึงเริ่มเปิดอีกสาขาหนึ่งที่ถนนโชตนา ย่านช้างเผือก โดยเช่าพื้นที่จากตระกูล "ภัทรประสิทธิ์"


พื้นที่บริเวณห้างสรรพสินค้าริมปิงโชตนา แห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นของตระกูลนายวรการบัญชา ต่อมาเปลี่ยนเป็นสกุล "สุตันตรานนท์" คนรุ่นเก่าบอกว่าเมื่อผ่านย่านนี้ในอดีตเป็นสวนกว้างมีบ้านใหญ่อยู่ในสวนแห่งนี้

อาจสรุปว่า แม้จะประสบปัญหาด้านถูกห้างใหญ่ที่มีเงินทุนมากกว่าดึงลูกค้าไป ทำให้ห้างตันตราภัณฑ์ และแอร์พอร์ตพลาซ่า ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในโอกาสเดียวกันห้างริมปิงทั้งสองสาขา คือ ที่ริมปิง สาขานวรัฐ และริมปิง สาขาโชตนา ก็สามารถฉีกแนวในการดึงดูดลูกค้าโดยเน้นสินค้าที่สด มีคุณภาพและสั่งตรงจากต่างประเทศ จึงทำกำไรได้ดีในปัจจุบัน

จากร้านตันฮั่วง้วน ของเถ้าแก่ง่วนชุน ตันตรานนท์ มาสู่รุ่นลูก คือ นายธวัช ตันตรา-นนท์ สร้างห้างตันตราภัณฑ์และห้างริมปิง จนมาถึงรุ่นที่สาม นายวรกร ตันตรานนท์ อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่

ถัดจากห้างตันตราภัณฑ์ไปทางทิศตะวันตกปัจจุบันเป็นที่ต้องของธนาคารกรุงเทพ จำกัด

เดิมบริเวณนี้เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวของแป๊ะหมู สุวรรณยืน ภรรยาชื่อ นางจันทร์ตา

บ้านแป๊ะหมู อยู่ติดกับบ้านแป๊ะสุข น้องชาย ซึ่งบ้านแป๊ะสุข คือ ที่ดินส่วนหนึ่งของห้างตันตราภัณฑ์ทางซีกตะวันตก


ทั้งแป๊ะหมูและแป๊ะยืน ต่างเป็นบุตรชายคนหนึ่งของแป๊ะยืน สุวรรณยืน ซึ่งเชื่อได้ว่าครอบครองที่ดินบริเวณนี้ ต่อมาจึงตกทอดสู่รุ่นลูก

หากกล่าวถึงตระกูล "สุวรรณยืน" แล้วได้ชื่อว่าเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง มาครอบครองที่ดินย่านถนนท่าแพละแวกนี้อยู่ไม่น้อย แป๊ะยืน เดิมแซ่แต่ เป็นรุ่นที่ ๓ ของต้นตระกูลครอบครัวชาวจีนที่ชื่อว่านายซื้อ-นางหงษ์ แซ่แต่ แป๊ะยืนแต่งงานกับนางบัวคำ และมาตั้งบ้านเรือนค้าขายอยู่ถนนท่าแพ มีบุตรธิดา ๘ คน คือ นายสูน, นายหมู, นายสุข, นายน้อย, นางแก้วลูน , นายจู , นางบุญปั๋น และนายล้าน สุวรรณยืน


รุ่นหลานที่ทันเห็นครอบครัวของแป๊ะยืน เล่าว่ารุ่นลูก คือ แป๊ะจู ย้ายไปอยู่หลังวัดช่างฆ้อง แป๊ะสุข ไปบุกเบิกครอบครองที่ดินสร้างหลักฐานเขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายและเสียชีวิตที่นั่น แป๊ะน้อยทำธุรกิจโรงเลื่อยช้างเผือกภรรยาชื่อ นางบุญปั๋น


ด้านแป๊ะหมู ปักหลักที่ถนนท่าแพแห่งนี้ แต่งงานกับนางจันทร์ตา สร้างฐานะจนเป็นปึกแผ่นมั่นคง โดยเฉพาะนางจันทร์ตา ยอมรับกันว่าเป็น "หญิงเหล็ก" คนหนึ่ง มีมานะสูง เดินทางไปค้าขายระหว่างเมืองเชียงใหม่กับประเทศพม่า สมัยนั้นว่ากันว่าต้องเดินทางไปออกทางจังหวัดตากที่เรียกว่า "เมืองระแหง" และออกไปทางอำเภอแม่สอด การเดินทางลำบากแสนสาหัส อีกทั้งอาจต้องถูกโจรผู้ร้ายปล้นสดมภ์ด้วย คราวหนึ่งระหว่างเดินทางนางจันทร์ตา ถูกโจรปล้นระหว่างทางเสียทรัพย์สินไปไม่น้อย เป็นเรื่องราวที่ชาวท่าแพรับรู้และกล่าวถึงทั้งห่วงใยและยกย่อง


นางจันทร์ตา ผู้นี้เดิมใช้สกุล "พันธุรัตน์" เป็นชาวบ้านฮ่อม ชุมชนใหญ่อยู่ถัดไปทางทิศตะวันตก รูปร่างเล็ก ผิวคล้ำ เก่งด้านค้าขาย เมื่อสร้างฐานะได้มั่นคงแล้วก็ซื้อสะสมที่ดินไว้ หากมีใครบอกขายก็ซื้อเก็บ ซื้อไว้จนนายหมูผู้เป็นสามีบ่นเปรยว่า จันทร์ตาเอ๊ย จะซื้อเอาไปอะหยังปะล้ำปะเหลือ ลูกก็มีแค่คนเดียว ตอนหลังนางจันทร์ตาได้ซื้อที่ดินย่านใจกลางเมืองริมถนนราชดำเนินข้างวัดหมื่นล้าน เดิมเป็นที่ดินของ เจ้าราชบุตร(เจ้าสมพะมิตร ณ เชียงใหม่)ซึ่งตกมาสู่เจ้าหมื่นแก้ว รุ่นลูก ส่วนหนึ่งปลูกบ้านอยู่อาศัย อีกส่วนหนึ่งให้เอยูเอเช่า


นายหมูและนางจันทร์ตา สุวรรณยืน มีบุตรคนเดียวชื่อนายอินทอง สุวรรณยืน จบคณะบัญชีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เก่งธุรกิจเช่นเดียวกับแม่ ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจป่าไม้และทำเหมืองแร่ขนาดใหญ่ที่อำเภอลี้ ต่อมาซื้อที่ดินมุนถนนช้างคลานตัดกับถนนศรีดอนไชยซึ่งเคยเป็นตลาดเล็กๆไว้เป็นกรรมสิทธิ์และให้เจ้าไชยสุริวงศ์เช่าทำโรงภาพยนตร์แสงตะวัน เลยเรียกแยกนี้ว่าแยกแสงตะวันเรื่อยมา


นายหมูและนางจันทร์ตา เมื่อซื้อที่ดินที่ถนนราชดำเนินแล้วจึงย้ายไปพักอาศัยอยู่ที่นั่น ที่ริมถนนท่าแพขายต่อให้ชาวจีนคนหนึ่งมีอาชีพขายกาแฟอยู่ในโรงหนังตงเฮง สมัยที่ยังไม่เปลี่ยนเป็นโรงยาฝิ่น วันดีคืนดีชาวจีนผู้นี้ประสบโชคดีถูกรางวัลที่หนึ่งสมัยนั้นได้เงินคงประมาณ ๒ แสน ๓ แสนบาท คนอิจฉากันทั้งถนน จึงมาซื้อบ้านของแป๊ะหมู และเข้าอยู่อาศัย หน้าบ้านเปิดขายกาแฟ ขนมปัง ไข่ลวก ต่อมาบ้านแห่งนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร กรุงเทพ จำกัด สร้างที่ทำการธนาคาร.


พ.ต.ท.อนุ เนินหาด
รอง ผกก.สส.สภ.อ.ดอยสะเก็ด

เครดิตภาพ ภาพห้างตันตราภัณฑ์ของคุณธวัช ตันตรานนท์


คัดลอกจาก
http://www.thainews70.com/news/news-culture-arnu/view.php?topic=53

ไนติงเกล ?

ไนติงเกล ห้างแรกของไทย อยู่คู่นักช็อปมาเกือบ 80 ปี

ไนติงเกล ห้างแรกของไทย อยู่คู่นักช็อปมาเกือบ 80 ป






          ในสมัยนี้ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งห้างดังสุดหรูใจกลางเมือง หรือห้างสรรพสินค้ากึ่งซุปเปอร์มาเก็ต ที่อำนวยความสะดวก ให้เราได้เลือกซื้อสิ้นของกันแล้วเพื่อน ๆ รู้ไหมคะ ว่าห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของประเทศไทยคือที่ไหนแล้วห้างดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไร วันนี้เรามีคำตอบมาฝากค่ะ ... ว่าแต่ว่า ห้างในสมัยอดีตนั้น เขาจะมีสินค้าอะไรมาขายบ้างหนอ...

           ห้างสร้างสรรพสินค้าแห่งแรกของประเทศไทย มีชื่อว่า "ห้างไนติงเกล" หรือชื่อเต็มคือ ไนติงเกล โอลิมปิค เป็นห้างที่มีอายุยาวนานคู่นักช็อปมาเกือบ 80 ปี และในทุกวันนี้ก็ยังให้บริการอยู่ เริ่มแรกห้างดังกล่าวได้ตั้งขึ้นอยู่บริเวณแยกพาหุรัด เริ่มเปิดกิจการเมื่อปี พ.ศ. 2473 ก่อตั้งโดยนายนัติ นิยมวานิช จากห้างเล็ก ๆ ที่ตั้งใกล้กับศาลาเฉลิมกรุง ก็ได้ขยับขยายจนกลายเป็น ห้างไนติงเกล-โอลิมปิค ซึ่งเปิดบริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2509

         ทั้งนี้ นัติ นิยมวานิช ได้อาศัยพรสวรรค์ในการเป็นนักประชาสัมพันธ์ โฆษณาสินค้าที่มีอยู่ในห้างผ่านโทรทัศน์ ซึ่งห้างไนติงเกลเป็นรายแรก ๆ เลยทีเดียวที่ทำการโฆษณาในรูปแบบนี้  อีกทั้งยังทำการประชาสัมพันธ์อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดประกวดดนตรี หรือการสร้างสโลแกนสุดเท่ อย่าง "คลังแห่งเครื่องกีฬา ราชาเครื่องดนตรี ราชินีเครื่องสำอาง" ซึ่งเป็นข้อความที่ติดตา พูดกันติดปาก  นอกจากนี้ ห้างไนติงเกล ยังเป็นเจ้าแรกที่นำสินค้าใหม่ ๆ จากต่างประเทศมาสร้างความแปลกใหม่ และตื่นตาตื่นใจแก่ผู้คนในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง  และด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่ทำให้ห้างไนติงเกลถูกกล่าวขานถึงเป็นอย่างมาก  ในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ เท่านั้น

          ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานเกือบ 80 แล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ห้างไนติงเกลยังมีกลิ่นอายของอดีตลอยอบอวลไปทั่ว เริ่มตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปภายในห้าง เหมือนกลับก้าวเข้าไปในยุค 60 - 70 ยังไงยังงั้น ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งของร้านที่ยังคงไว้เหมือนสมัยอดีต ข้าวของที่เรียงรายทั้ง น้ำหอม เครื่องสำอาง เสื้อผ้าต่าง  ๆ อีกทั้งยังมีอุปกรณ์กีฬา สแตมป์ต่างประเทศ และของเบ็ดเตล็ดทั่วไป ซึ่งทั้งหมดเป็นสินค้าที่ขึ้นชื่ออย่างมาในยุคนั้น แถมยังมีใบปลิวโฆษณาในแต่ละยุคที่ผ่านมา ให้เราได้อ่านกันเพลินตาอีกด้วย

          สำหรับชั้น 2 ของห้างไนติงเกลนั้น เต็มไปด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกาย ชุดออกกำลังกาย ที่ยังจำหน่ายอยู่จริง ๆ ในราคาย่อมเยาว์ อย่างเช่น รองเท้าสตั๊ด ขายในราคา 350 บาท โดยพนักงานขายกล่าวด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสว่า "หมดแล้วหมดเลยนะคะ"  อีกทั้งยังมีห้องฟิตเนส เป็นรายแรกแห่งประเทศไทย โดยอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกายที่เรียนกว่าฟิตเนส ในสมัยนั้นได้นำเข้าจากต่างประเทศ ก็จะมีทั้งเครื่องบริหารสะโพก ต้นขา ในรูปแบบการทำงานที่น่าทึ่งมาก ๆ อีกทั้งยังมีจักรยาน ลู่วิ่ง ดัมเบลล์ ไว้บริการลูกค้า และมีพนักงานคอยแนะนำการใช้อย่างใกล้ชิดด้วย โดยจะคิดราคาบริการเป็นรายชั่วโมง

          เดินขั้นบันไดต่อไปชั้น 3 ซึ่งปัจจุบันได้ปิดให้บริการแล้ว แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเยี่ยมชมได้ ที่ชั้น 3 นี้จะเป็นสถานเสริมความงามครบวงจรรายแรก ๆ ของไทย โดยในสมัยอดีตนั้น ทางห้างจะให้ลูกค้าลองแต่งหน้า และเสริมสวยเอง หรือใครอยากให้ช่างมืออาชีพแต่งให้ก็ได้  นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมความงาม และลดน้ำหนักจากต่างประเทศมาคอยบริการลูกค้าเปรียบเสมือนห้างดังในปัจจุบันเลยทีเดียว

         ถึงแม้ว่าห้างไนติงเกลจะไม่มีสินค้าแบรนด์เนม หรือแฟชั่นใหม่ ๆ ที่จะดึงดูดใจขาช็อปในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ห้างไนติงเกลมีอยู่ตลอดเวลาก็คือ กลิ่นอายและความทรงจำในอดีต ที่ยากจะหาซื้อได้

         ถ้าเพื่อน ๆ มีเวลาว่าง อยากจะไปสัมผัสบรรยากาศเก่า ๆ ก็ไปเยี่ยมเยือนห้างไนติงเกลกันได้นะคะ  อ้อ... พนักงานห้างเขาฝากบอกว่ามา "ซื่อตรง ตามใจ ไมตรีจิต มิตรภาพ ของดี ราคายุติธรรม" โอโห้ สโลแกนเท่ขนาดนี้ อย่างนี้ต้องไปพิสูจน์ซะหน่อยแล้ว  ว่าห้างนี้มีทีเด็ดอะไร ถึงได้อยู่คู่คนไทยมาเกือบ 80 ปี

         ห้างไนติลเกล ริมถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200

         เปิดทำการทุกวัน

         การเดินทางรถประจำทางสาย 1, 8, 10, 25, 42, 43, 48, 53, ปอ.25, 73, 501, 506, 508, ปอ.พ.1, 73, 507
(เครดิต)
ขอขอบคุณ เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก pantip.com  โพสต์โดย คุณ laser